
Q: 2017 is ending soon. What is your happiest thing in 2017?
A: The happiest thing in 2017 is that 2017 is ending soon.
ถ้าเคยคิดว่าเวลาผ่านไปเร็วแค่ไหน ในชีวิตจริงเวลาผ่านไปเร็วกว่าที่เราคิดไว้ซะอีก
อีก 10 วัน ปีนี้ก็จะสิ้นสุดลงแล้ว ปีที่เต็มไปด้วยเรื่องราว เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนผ่านมากมาย ที่เราเองก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงพวกนั้นเลย (ทั้งๆที่เมื่อก่อนตื่นเต้นจะตายกับการเจอเรื่องใหม่ๆในชีวิต) มันกลับกลายเป็นความกลัว ความรู้สึกไม่ปลอดภัยเข้ามาในใจแทน
ปี 2017 เลยเป็นปีที่มีผลต่อสุขภาพจิตมากๆ เป็นปีที่ต้องเปลี่ยนสถานะจากนักศึกษามาเป็นคนทำงาน ที่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลยว่าอยากทำงานอะไร จริงๆคือไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นแหละ พอไม่อยากทำ แพชชั่นในการทำ มันก็หายไปหมด ไปสมัครงานก็ผิดหวังอีก เพราะไอที่ไปสมัครก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองชอบไหม ไปสัมภาษณ์แบบกล้าๆกลัวๆ ผิดหวังกลับมาเพราะไปคาดหวังกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้หวังจริงๆด้วยซ้ำ ชีวิตค่อนข้าง lost มากในช่วงครึ่งปีหลัง ปีนี้เลยเป็นปีที่ฝ่ายผลิตพลังงานบวกในตัวทำงานโคตรหนัก มีงานวิจัยบอกว่า ช่วงอายุ 20 ปี จะเป็นตัวกำหนดว่าตัวเราในอนาคตที่เหลือจะเป็นยังไง ตอนนั้นโคตรกังวลเลยอ่ะ เพราะปีที่ 22 ของเรามันเป็น dark side ของตัวเองเลย ถึงบอกว่าต้องดึงพลังงานบวกมาฮีลตัวเองแบบไม่หยุด ไม่งั้นต้องกลายเป็นคนแบบที่ตัวเองไม่ชอบแน่เลย
ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านพวกนั้นทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเองได้มากขนาดที่คิดว่าตัวเองอยู่ในภาวะซึมเศร้าแน่ๆ ถ้าปล่อยไปแบบนี้ต้องกลายเป็นโรคแน่นอน ซึ่งเราไม่อยาก เราเลยพยายามก้าวผ่านตรงนั้นมาให้ได้ ด้วยหลายๆวิธี จนวันนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถผ่านมันมาได้ในระดับหนึ่งแล้ว และไม่อยากลืมว่าตอนนั้นเรารู้สึกอะไรบ้าง แล้วเราผ่านความรู้สึกพวกนั้นมาได้ยังไง
1. เรารู้สึกเคว้งคว้าง เพราะเราไม่รู้ว่าเราอยากทำอะไร และอะไรที่เหมาะกับเรา
2. เรารู้สึกว่าเราไม่ได้เรื่อง เพราะเราผิดหวังบ่อยๆ จากการที่เราไปคาดหวังในสิ่งที่เราไม่ได้หวังจริงๆด้วยซ้ำ
3. เรารู้สึกว่า ชีวิตเราต้องทำงานๆๆๆๆๆๆ แล้วตายไปหรอ ชีวิตจะมีแค่นี้จริงดิ
4. ในโลกการทำงาน คนที่พรีเซนต์ตัวเองได้เก่ง ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ซึ่งเราไม่ใช่คนแบบนั้น
5. เคยมีแวบนึงคิดว่า ถ้าเราเป็นไรตายไปตอนนี้ เราก็คงไม่ได้เสียใจอะไร ซึ่งตอนนี้รู้สึกอยากตีตัวเองมากที่เคยคิดแบบนั้น เพราะพ่อแม่และอีกหลายคนจะเสียใจนะถ้าเราตาย มีอีกหลายอย่างที่เธอยังไม่ได้ทำเลยมะปราง แล้วก็ตายไปแล้วจะได้อยู่บนสวรรค์ไหมน่ะ บุญมีแค่นี้เอง5555555
6. เคยพยายามบอกตัวเองว่า เรากังวลกับอนาคตมากเกินไปรึป่าว พอจินตนาการความแย่ในอนาคตไว้ในใจ ใจเราก็ฝ่ออ่ะดิ ทั้งๆที่ยังไม่ได้เจอเรื่องพวกนั้นจริงๆเลยด้วยซ้ำ เราเลยพยายามอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งเราทำไม่ได้ เพราะปัจจุบันมันไม่น่าอยู่ ตรงที่เราว่างมากกก มากกจนรู้สึกไร้ค่าและรู้สึกว่าตัวเองทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ทั้งๆที่เขาอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ
พอแล้ว เราจะไม่พูดถึงความรู้สึกแย่ๆพวกนั้นแล้ว ขี้เกียจรำลึก เอาเท่าที่จำได้555555
เราสามารถก้าวผ่านความรู้สึกพวกนั้นมาได้ โดยการแก้ปัญหาไปทีละข้อๆ เช่น
1. เรารู้สึกว่าเราไร้ค่า รู้สึกตัวเองไม่มีประโยชน์ เราเลยแก้ปัญหานี้ด้วยการ... ปลูกผัก 55555 งงเด่ะ ปลูกผักช่วยไรวะ ตลกมะ คือเราเลือกที่จะปลูกพืชที่เรามั่นใจว่ามันจะไม่ตายแน่ๆ และมันเป็นพืชที่โตไวด้วย นั่นคือต้นอ่อนทานตะวัน ทุกเช้าเราจะมีแรงบันดาลใจในการตื่นมาดูว่า 'เอ้ะ ผักของฉันโตขึ้นกี่เซ็นแล้วนะ' ทำให้แต่ละวันเรารู้สึกว่าเรามีอะไรให้เฝ้ารอ พอถึงเวลาที่มันโตพร้อมจะกินได้ วันนั้นจะรู้สึก 'ฮึ่มม ฉันปลูกผักสำเร็จ ผักของฉันเป็นส่วนนึงในอาหารมือเย็นให้ครอบครัวได้รับประทาน 1 จานถ้วน' แค่นี้ก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองขึ้นมาทันที บทจะง่ายก็ง่ายขนาดนี้เลยเนอะ555555 (แต่มันก็เป็นวิธีแบบที่แก้ความรู้สึกแย่ต่อตัวเองได้แค่ชั่วคราวนะ)
2. เรารู้ว่าปัญหาของเราที่จิตใจเราแย่ รู้สึกกลัว กังวลไปหมด เพราะเราไปอยู่กับอนาคต เราไปกังวลกับมันมากเกินไป แต่ตอนนั้นเราบังคับตัวเองให้อยู่กับปัจจุบันไม่ได้เลยถ้าเรายังใช้ชีวิตเหมือนเดิม เราเลยตัดสินใจไปปฏิติธรรม 15 วัน ช่วงที่ไปปฏิบัติธรรม เราตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่คิดถึงเรื่องอื่น เราจะตั้งใจทำปัจจุบันตรงนี้ของเราให้ดีที่สุด แล้วการไปปฏิธรรม เราได้นั่งสมาธิ ได้สวดมนต์ ได้อยู่กับตัวเองจริงๆ มันช่วยทำให้เราอยู่กับปัจจุบันได้ ไม่คิดมาก พอไม่คิดมาก สุภาพใจก็ดีขึ้น
แล้วการไปปฏิบัติธรรม เราได้ฟังธรรมะดีๆจากพระอาจารย์ทุกวัน สิ่งที่พระอาจารย์สอนตลอดคือ
ให้เราทำใจสบายๆ อยู่กับปัจจุบัน มองโลกไม่ต้องสวยงามมากก็ได้ แต่มองโลกอย่างเข้าใจ พยายามทำความเข้าใจและยอมรับกับทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ให้ความหมายกับมันดีๆ แล้วสิ่งดีๆจะตามเข้ามาเอง
พระอาจารย์บอกว่า ใจคือธาตุสำเร็จ ถ้าใจเราคิดอะไร มันจะดึงดูดสิ่งนั้นมาหาเรา การที่เราไปกังวลกับอนาคต ไปจินตนาการว่ามันแย่อย่างนู้น อย่างนี้ ใจมันก็จะดึงดูดสิ่งที่เราคิดนั่นแหละ ผลเสียอันดับแรกเลยคือเรากลัวสิ่งที่เราจินตนาการไว้ไปแล้วเรียบร้อย ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันอาจไม่เลวร้ายแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ ให้เราทำใจสบายๆ ยิ้มเข้าไว้ เจออะไรก็พยายามเข้าใจ และยอมรับมัน อย่าไปกังวล hakuna matata ไปเลยจ้า
รู้สึกตัวเองโชคดีมากที่ได้เป็นชาวพุทธ และอยากขอบคุณเตี่ยกับแม่มากที่พาทำบุญตั้งแต่เด็กๆ คือเข้าใจแล้วว่าการมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมันดียังไง บางคนเลือกที่จะมีตัวเองเป็นที่ยึดเหนี่ยว แต่ถ้าวันนึงตัวเราเองมันไม่ไหวแล้ว ทีนี้เราจะหันหน้าไปยึดเหนี่ยวอะไรหล่ะ การมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมันดีมากจริงๆ เราครมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างน้อยสองอย่างอ่ะ หนึ่งคือ ตัวเอง สองคือ อะไรก็ได้ที่เป็นสิ่งที่ดีและทำให้เราสบายใจ เพราะหากวันนึงเราไม่ไหวกับตัวเอง เราก็ยังมีสิ่งนี้ให้พึ่งพิงทางใจ สำหรับเรา ตั้งแต่เล็กจนโตมา ก็ได้พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่งทางใจตลอด ทุกครั้งที่ไม่สบายใจ การได้ปฏิบัติธรรม ฟังธรรม อ่านหนังสือธรรมะ มันทำให้ใจสบาย ได้แง่คิดมาสอนตัวเองตลอดเลยจริงๆนะ เราเลยเคารพและรักพระพุทธศาสนามาก เราเป็นเราได้ทุกวันก็เพราะมีครอบครัวและพระพุทธศาสนาคอยหล่อหลอมด้วยแหละ
เราคิดว่าการไปปฏิบัติธรรม ได้เจอพระอาจารย์ดีๆ นี่แหละที่ทำให้เราได้แง่คิดในการใช้ชีวิตมาก้าวข้ามความรู้สึกแย่ๆพวกนั้นได้อย่างระยะยาว
3. เรารู้ว่าเรารู้สึกไม่ได้เรื่องจากการที่พบกับความผิดหวังในการสัมภาษณ์งาน ที่จริงๆก็ไม่ได้ไปสัมฯหลายที่เลยด้วยซ้ำ ไปแค่นิดเดียวเอง แค่รู้สึกว่า มันไม่ใช่ที่ของเราเลยซักที่ ไปด้วยความแบบเออได้ก็ดีวะ ได้เงิน แต่พอไม่ได้กลับมาก็เริ่มคิดละ เอ้ะ เราไม่ดีตรงไหนนะ จริงๆแล้วงานที่สมัครไปก็ไม่ได้เหมาะกับตัวเองหรอก แล้วเป็นคนเรื่องเยอะกับการสมัครงานมาก เลือกเยอะจริง แบบคิดว่า เงินเดือนเท่านี้จะพอหรอ ต้องทำแบบนี้ทุกวันเราจะมีความสุขจริงๆดิ มันจะก้าวหน้ายังไงวะอาชีพนี้ คิดไปต่างๆนานา สมัครไปแต่ละอันก็ไม่ได้ตรงกับที่ตัวเองเรียมาเลย มันเลยไม่ได้สักที่ไง (แต่พอไปสมัครงานตรงสายปรากฎว่า ได้งาน แต่ไม่เอาจ้า คือระ) สุดท้าย เราก็มาตกตะกอนว่า อันดับแรกสิ่งที่เธอต้องคิด คือ สิ่งที่เธอต้องการจริงๆคืออะไร เรามาคิดดูแล้วว่าเราอยากมีความสุขทุกวัน อยากมีเวลาให้ตัวเอง ให้คนที่เรารัก ได้เงินไม่ต้องมากก็ได้ แค่พอมีพอกิน ก้าวหน้าไหมค่อยว่ากัน ตอนนี้ยังมองอะไรไม่ออกเลย ในอนาคตคงมีลู่ทางเอง สรุปก็คือ ขอเลือกความสุข เลือกถูกไหมไม่รู้ แต่ตอนนี้เลือกไปแล้ว ก็ค่อยๆหาคำตอบไปแล้วกัน ชีวิตคนเราคือการหาคำตอบไม่จบไม่สิ้นจริงๆ
เวลาเจอปัญหาเราควรจะค่อยๆปลดล็อคมันไปทีละข้อ ค่อยๆคิด และก็ทำใจให้สบายเข้าไว้ การเชื่อมั่นในตัวเองอ่ะดีที่สุด ทำยากหน่อยแต่มันทำได้
ตอนที่รู้สึกแย่กับตัวเอง เรารู้เลยว่าคำแนะนำหรือกำลังใจใดๆก็ตามไม่สำคัญเท่ากับการมีใครสักคนมาบอกว่า เรามีข้อดีอะไรบ้าง เรามีคุณค่ายังไง เราเก่งมากนะ การได้ฟังอะไรแบบนั้นตอนที่เราไม่แม้แต่จะเห็นคุณค่าในตัวเอง แต่คนอื่นเห็น นี่มันช่วยฮีลเราขึ้นมาได้จริงๆ
เราก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีเหตุการณ์อะไร หรือปีไหนอีกที่ทำให้เราต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบนี้อีกรึป่าว ถ้าวันนั้นมาถึง เราคงกลับมาเปิดอ่านบันทึกนี้อีกครั้ง เผื่อตัวเองจะลืมไปแล้วว่าเคยผ่านความรู้สึกแย่แบบนี้มาได้นะ แต่เราก็หวังว่าเราจะไม่ต้องรู้สึกแบบนี้อีกต่อไป
หวังว่าทุกคนจะมีแต่วันที่ดีเหมือนกัน ถึงจะมีวันที่ไม่ดีบ้าง แต่มันก็เป็นธรรมดาของชีวิต ถูกไหม?
ชีวิตก็เหมือนคลื่นทะเลนั่นแหละ เดี๋ยวก็พายุเข้า เดี๋ยวก็นิ่งสงบ เจอปัญหาก็ขอให้ทำใจให้สบาย มองมันอย่างเข้าใจแล้วใช้ชีวิตของเราต่อไปเรื่อยๆ
ขอให้ทุกคนมีใจที่เข้มแข็ง เราก็เหมือนกัน จะพยายามมีใจที่เข้มแข็ง แล้วขอให้ปีต่อๆไปเป็นปีที่ราบรื่นของพวกเราทุกคนนะ <3
ชีวิตก็เหมือนคลื่นทะเลนั่นแหละ เดี๋ยวก็พายุเข้า เดี๋ยวก็นิ่งสงบ เจอปัญหาก็ขอให้ทำใจให้สบาย มองมันอย่างเข้าใจแล้วใช้ชีวิตของเราต่อไปเรื่อยๆ
ขอให้ทุกคนมีใจที่เข้มแข็ง เราก็เหมือนกัน จะพยายามมีใจที่เข้มแข็ง แล้วขอให้ปีต่อๆไปเป็นปีที่ราบรื่นของพวกเราทุกคนนะ <3